มะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย มีอะไรบ้าง? เจาะลึกประเภทและอาการที่ควรรู้

เนื้อหาบทความ

มะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย มีหลายประเภท ซึ่งนับว่าเป็นโรคที่คร่าชีวิตประชากรในประเทศไทยและทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ด้วยสถิติผู้ป่วยรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นทุกปี โรคนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเดียว แต่มีทั้งปัจจัยทางพันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิต และสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม ข่าวดีคือมะเร็งหลายชนิดสามารถป้องกันและตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะแรก

ในบทความนี้ เราจะพาคุณทำความรู้จักกับ มะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในคนไทย เช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ พร้อมอธิบายถึง สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง อาการที่ควรเฝ้าระวัง รวมถึงแนวทางการตรวจคัดกรองเพื่อเพิ่มโอกาสการรักษา เพราะการรับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องคือก้าวแรกของการป้องกันมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ มาดูกันว่า คุณสามารถดูแลตัวเองและคนที่คุณรักให้ห่างไกลจากโรคร้ายนี้ได้อย่างไร


รู้จักกับ มะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย พร้อมสาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

รู้จักกับ มะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย พร้อมสาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

มะเร็งถือเป็นโรคที่ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งในด้านสุขภาพ ชีวิต และเศรษฐกิจในประเทศไทย โดยในแต่ละปีมีจำนวนผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ พบว่ามะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพาะตัว สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงที่แตกต่างกัน เราจะมาเจาะลึกถึงมะเร็งเหล่านี้ พร้อมกับวิธีลดความเสี่ยงเพื่อดูแลสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ

1. มะเร็งปอด: สาเหตุหลักจากการสูบบุหรี่และมลพิษทางอากาศ

มะเร็งปอด เป็นมะเร็งที่พบบ่อยในเพศชายและมีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุด สาเหตุสำคัญคือการสูบบุหรี่ ไม่ว่าจะเป็นการสูบโดยตรงหรือการได้รับควันบุหรี่มือสอง นอกจากนี้ มลพิษทางอากาศที่เกิดจากฝุ่น PM2.5 หรือสารเคมีในสิ่งแวดล้อม เช่น แร่ใยหินและก๊าซเรดอน ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ

คำแนะนำเพื่อลดความเสี่ยง:

  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และสถานที่ที่มีควันบุหรี่
  • ใช้หน้ากากอนามัยในพื้นที่ที่มีมลพิษสูง
  • ตรวจสุขภาพปอดเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่เสี่ยงต่อการสัมผัสสารเคมี

ทราบหรือไม่? การสูบบุหรี่นอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งปอดแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพผิว เช่น ปัญหาผิวเสียจากบุหรี่ ที่ทำให้ผิวหมองคล้ำและเกิดริ้วรอยก่อนวัยอีกด้วย การเลิกบุหรี่จึงเป็นวิธีที่ช่วยทั้งลดความเสี่ยงมะเร็งและฟื้นฟูสุขภาพโดยรวม

2. มะเร็งตับ: โรคยอดฮิตที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสและพฤติกรรมการบริโภค

มะเร็งตับ เป็นมะเร็งที่พบมากในทั้งเพศชายและหญิง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สาเหตุหลักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีที่ไม่ได้รับการรักษา นอกจากนี้ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนสารอะฟลาทอกซิน (พบในถั่วลิสงหรือข้าวที่เก็บในสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม) และโรคตับแข็งจากไขมันพอกตับ (Fatty Liver Disease) ก็เป็นปัจจัยสำคัญ

คำแนะนำเพื่อลดความเสี่ยง:

  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และอาหารที่ไม่สะอาด
  • ตรวจคัดกรองโรคตับอย่างสม่ำเสมอ

3. มะเร็งเต้านม: ภัยใกล้ตัวของผู้หญิงไทย

มะเร็งเต้านม เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิงไทย โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น การตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก การใช้ฮอร์โมนทดแทนในวัยทอง หรือภาวะอ้วนหลังวัยหมดประจำเดือน

คำแนะนำเพื่อลดความเสี่ยง:

  • ตรวจเต้านมด้วยตัวเองทุกเดือน
  • เข้ารับการตรวจแมมโมแกรมตามคำแนะนำของแพทย์
  • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและออกกำลังกายเป็นประจำ

4. มะเร็งลำไส้ใหญ่: ผลกระทบจากพฤติกรรมการกินและวิถีชีวิต

มะเร็งลำไส้ใหญ่ พบได้ทั้งในเพศชายและหญิง โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง ไฟเบอร์ต่ำ การบริโภคเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปในปริมาณมาก รวมถึงการไม่ออกกำลังกาย

คำแนะนำเพื่อลดความเสี่ยง:

  • เพิ่มปริมาณผัก ผลไม้ และธัญพืชในอาหาร
  • ลดการบริโภคเนื้อแดงและเนื้อแปรรูป
  • เข้ารับการตรวจคัดกรอง เช่น การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ในกลุ่มเสี่ยง

สัญญาณเตือนของมะเร็งที่ไม่ควรมองข้าม

สัญญาณเตือนของมะเร็งที่ไม่ควรมองข้าม

มะเร็งเป็นโรคร้ายที่ยังคงเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ทั่วโลก แต่การตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกสามารถเพิ่มโอกาสในการรักษาและยืดอายุผู้ป่วยได้อย่างมาก ในบทความนี้ เราจะพูดถึงอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่าง ๆ และวิธีการสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่อาจเป็นสัญญาณเตือนสำคัญ

อาการเบื้องต้นของมะเร็งแต่ละชนิด

  1. มะเร็งปอด
  • อาการ: ไอเรื้อรัง เสมหะมีเลือดปน เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก
  • คำแนะนำ: หากมีอาการไอนานเกิน 3 สัปดาห์หรือพบเลือดในเสมหะ ควรรีบพบแพทย์
  1. มะเร็งเต้านม
  • อาการ: มีก้อนเนื้อที่เต้านมหรือรักแร้ หัวนมผิดรูป ผิวเต้านมบุ๋มหรือแดงคล้ายเปลือกส้ม
  • คำแนะนำ: หมั่นตรวจเต้านมด้วยตัวเองทุกเดือน หากพบสิ่งผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์
  1. มะเร็งลำไส้ใหญ่
  • อาการ: การขับถ่ายเปลี่ยนไป (ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง) มีเลือดในอุจจาระ น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ
  • คำแนะนำ: หากมีอาการเหล่านี้ต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ ควรรับการตรวจ
  1. มะเร็งตับ
  • อาการ: ปวดท้องด้านขวาบน เบื่ออาหาร ตาและผิวเหลือง ท้องบวม
  • คำแนะนำ: ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคตับอักเสบ ควรตรวจสุขภาพตับอย่างสม่ำเสมอ
  1. มะเร็งผิวหนัง
  • อาการ: ไฝหรือจุดบนผิวหนังที่เปลี่ยนแปลงขนาด รูปร่าง หรือสี มีแผลที่ไม่หาย
  • คำแนะนำ: หมั่นสังเกตความผิดปกติของผิวหนัง โดยเฉพาะผู้ที่สัมผัสแสงแดดบ่อย

แนะนำการสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

  1. ตรวจร่างกายด้วยตนเอง

การสังเกตอาการผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้อ ตุ่ม หรือบาดแผลที่ไม่หาย สามารถทำได้ด้วยตนเอง ควรทำอย่างน้อยเดือนละครั้ง

  1. ให้ความสำคัญกับสัญญาณเล็ก ๆ

อาการเล็กน้อย เช่น เหนื่อยง่าย เจ็บป่วยบ่อย หรือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่ดูไม่มีเหตุผล ควรให้ความสนใจและแจ้งแพทย์

  1. ตรวจสุขภาพประจำปี

การตรวจสุขภาพประจำปีเป็นอีกวิธีที่ช่วยตรวจหาความผิดปกติในระยะแรกเริ่ม โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง

  1. ไม่ละเลยการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ

การรู้จักร่างกายของตนเองและการสังเกตความเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอคือกุญแจสำคัญ

เพิ่มเติม: บางครั้ง อาการบางอย่างอาจเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ ที่ไม่เพียงเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็ง แต่ยังทำลายสุขภาพผิวได้อีกด้วย หากคุณสงสัยว่า บุหรี่ทำลายคอลลาเจนได้อย่างไร? การทำความเข้าใจผลกระทบนี้อาจช่วยให้คุณตัดสินใจเลิกบุหรี่ได้ง่ายขึ้น


อาหารและพฤติกรรมที่ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง

อาหารและพฤติกรรมที่ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง

มะเร็งเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่งด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและเลือกอาหารที่เหมาะสม งานวิจัยทางการแพทย์ชี้ให้เห็นว่า ไลฟ์สไตล์และอาหาร มีผลโดยตรงต่อความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง การดูแลสุขภาพด้วยอาหารและพฤติกรรมที่ดีไม่เพียงช่วยลดโอกาสเกิดมะเร็ง แต่ยังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและทำให้ชีวิตมีคุณภาพดีขึ้น

1. ผักและผลไม้หลากสี

  • ผักและผลไม้ เช่น บรอกโคลี แครอท ผักโขม เบอร์รี และส้ม อุดมไปด้วย สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) เช่น วิตามินซี วิตามินเอ และเบตาแคโรทีน ซึ่งช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ที่อาจนำไปสู่มะเร็ง
  • คำแนะนำ: รับประทานผักและผลไม้หลากสีอย่างน้อย 5 ส่วนต่อวัน

2. ธัญพืชเต็มเมล็ด

  • ธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง ควินัว และข้าวโอ๊ต มี ไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • คำแนะนำ: เลือกข้าวหรือแป้งที่ไม่ผ่านการขัดสีเพื่อเพิ่มปริมาณใยอาหารในมื้ออาหาร

3. อาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3

  • ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล และปลาซาร์ดีนมีกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งช่วยลดการอักเสบในร่างกายและอาจลดความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม
  • คำแนะนำ: รับประทานปลาที่มีโอเมก้า-3 สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

4. เครื่องเทศที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง

  • ขมิ้นชันและกระเทียมมีสารที่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็ง เช่น เคอร์คูมิน และ อัลลิซิน ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  • คำแนะนำ: ใส่เครื่องเทศเหล่านี้ในอาหารประจำวัน เช่น ในแกงหรือซุป

5. ชาเขียว

  • ชาเขียวอุดมด้วยสารโพลีฟีนอลที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งลำไส้
  • คำแนะนำ: ดื่มชาเขียว 1-2 แก้วต่อวัน

พฤติกรรมที่ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง

1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

  • การออกกำลังกายช่วยควบคุมน้ำหนักและลดฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง เช่น อินซูลิน
  • คำแนะนำ: ออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น การเดิน วิ่ง หรือโยคะ

2. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์

  • การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งปอดและมะเร็งอื่นๆ ในขณะที่การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งตับและมะเร็งช่องปาก
  • คำแนะนำ: หากเลิกไม่ได้ทันที ควรลดปริมาณการสูบและดื่มให้น้อยที่สุด สำหรับผู้ที่เริ่มปรับพฤติกรรมการเลิกแอลกอฮอล์ คุณจะพบ ข้อดีเมื่อเลิกเหล้าเลิกเบียร์ ไม่เพียงแค่ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็ง แต่ยังช่วยฟื้นฟูระบบต่างๆ ในร่างกายให้กลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอีกด้วย

3. การควบคุมน้ำหนัก

  • น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐานสัมพันธ์กับความเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านมหลังวัยหมดประจำเดือน และมะเร็งลำไส้ใหญ่
  • คำแนะนำ: ควบคุมปริมาณแคลอรีและเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ

4. การนอนหลับที่เพียงพอ

  • การนอนหลับไม่เพียงพอทำให้ฮอร์โมนเมลาโทนินที่มีบทบาทต้านมะเร็งลดลง
  • คำแนะนำ: นอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน

5. หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด

  • แสงแดดที่มีรังสี UV สูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของมะเร็งผิวหนัง
  • คำแนะนำ: ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไปและหลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดในช่วงเวลา 10.00-16.00 น.

การตรวจคัดกรองมะเร็ง

การตรวจคัดกรองมะเร็ง

มะเร็งเป็นหนึ่งในโรคที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกมากที่สุด แต่สิ่งสำคัญที่หลายคนอาจยังไม่ตระหนักคือ การตรวจพบมะเร็งในระยะแรกสามารถเพิ่มโอกาสการรักษาให้สำเร็จได้อย่างมาก การตรวจคัดกรองมะเร็งจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา

ความสำคัญของการตรวจคัดกรองมะเร็ง

  1. ตรวจพบมะเร็งในระยะแรก: การตรวจคัดกรองช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยมะเร็งในระยะที่ยังไม่มีอาการ หรือก่อนที่มะเร็งจะแพร่กระจาย ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดอัตราการเสียชีวิต
  2. ลดค่าใช้จ่ายในการรักษา: การรักษามะเร็งในระยะแรกมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษาในระยะลุกลามอย่างมาก ทั้งยังช่วยลดภาระทางจิตใจและร่างกายของผู้ป่วย
  3. ป้องกันการพัฒนาเป็นมะเร็งระยะลุกลาม: การตรวจคัดกรองบางชนิด เช่น การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ สามารถตรวจพบความผิดปกติที่อาจกลายเป็นมะเร็ง และทำการรักษาก่อนที่จะพัฒนาเป็นมะเร็ง

ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการตรวจคัดกรองมะเร็งแต่ละชนิด

1. มะเร็งเต้านม

  • ใครบ้างที่ควรตรวจ: ผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม
  • การตรวจที่แนะนำ: การตรวจด้วยแมมโมแกรม (Mammogram) ทุก 1-2 ปี หรือ การตรวจเต้านมด้วยตัวเองทุกเดือน

2. มะเร็งปากมดลูก

  • ใครบ้างที่ควรตรวจ: ผู้หญิงที่มีอายุ 21-65 ปี หรือผู้ที่มีประวัติการมีเพศสัมพันธ์
  • การตรวจที่แนะนำ: การตรวจ Pap smear ทุก 3 ปี (สำหรับผู้หญิงอายุ 21-29 ปี) หรือ การตรวจ Pap smear หรือ HPV DNA test ทุก 5 ปี (สำหรับผู้หญิงอายุ 30-65 ปี)

3. มะเร็งลำไส้ใหญ่

  • ใครบ้างที่ควรตรวจ: ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้
  • การตรวจที่แนะนำ: การตรวจอุจจาระ (FOBT หรือ FIT) ทุกปี หรือ การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ทุก 10 ปี

4. มะเร็งตับ

  • ใครบ้างที่ควรตรวจ: ผู้ที่มีประวัติติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ผู้ที่มีโรคตับแข็ง หรือผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
  • การตรวจที่แนะนำ: การตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องและค่า AFP (Alpha-fetoprotein) ทุก 6 เดือน

5. มะเร็งปอด

  • ใครบ้างที่ควรตรวจ: ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปที่สูบบุหรี่จัด หรือเคยสูบบุหรี่ในอดีต
  • การตรวจที่แนะนำ: การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความหนาแน่นต่ำ (Low-dose CT Scan) ปีละครั้ง

6. มะเร็งผิวหนัง

  • ใครบ้างที่ควรตรวจ: ผู้ที่มีผิวขาว ไฝที่มีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ หรือมีประวัติสัมผัสแสงแดดจัดเป็นเวลานาน
  • การตรวจที่แนะนำ: การตรวจผิวหนังโดยแพทย์เป็นระยะ

คำแนะนำเพิ่มเติมในการตรวจคัดกรอง

  1. ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงส่วนบุคคลแต่ละคนมีปัจจัยเสี่ยงแตกต่างกัน เช่น ประวัติครอบครัว พฤติกรรมการใช้ชีวิต และสภาพแวดล้อม การพูดคุยกับแพทย์ช่วยให้คุณวางแผนการตรวจที่เหมาะสม
  2. ไม่ละเลยอาการผิดปกติหากมีอาการผิดปกติ เช่น น้ำหนักลด ไอเรื้อรัง หรือมีก้อนในร่างกาย ควรรีบพบแพทย์ทันที แม้จะอยู่ในช่วงอายุที่ไม่ต้องตรวจคัดกรอง
  3. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดการตรวจคัดกรองควรทำตามช่วงเวลาที่กำหนด ไม่ควรข้ามการตรวจหรือเลื่อนการตรวจโดยไม่จำเป็น

สรุปแล้ว มะเร็งเป็นโรคร้ายที่แม้จะมีความซับซ้อนและหลากหลายสาเหตุ แต่การรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับ มะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย รวมถึงอาการ สาเหตุ และปัจจัยเสี่ยง สามารถช่วยให้เราป้องกันและลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ การตรวจคัดกรองมะเร็งตั้งแต่ระยะแรกเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและยืดอายุผู้ป่วยได้

นอกจากการตรวจคัดกรองแล้ว การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง เช่น การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง


คำถามที่พบบ่อย

1. มะเร็งที่พบบ่อยในคนไทยมีอะไรบ้าง?

มะเร็งที่พบบ่อยในคนไทย ได้แก่ มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยมะเร็งปอดมักพบในผู้ชาย สาเหตุหลักมาจากการสูบบุหรี่และมลพิษทางอากาศ มะเร็งตับเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์ มะเร็งเต้านมพบมากในผู้หญิง มีปัจจัยเสี่ยงจากฮอร์โมน พันธุกรรม และภาวะน้ำหนักเกิน ส่วนมะเร็งลำไส้ใหญ่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกินอาหารที่มีไขมันสูงและการขาดการออกกำลังกาย

2. ควรตรวจคัดกรองมะเร็งเมื่อไหร่?

การตรวจคัดกรองมะเร็งควรเริ่มตามอายุและปัจจัยเสี่ยง เช่น มะเร็งเต้านมควรเริ่มตรวจแมมโมแกรมตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ทุก 1-2 ปี มะเร็งปากมดลูกควรตรวจ Pap smear ทุก 3 ปีสำหรับผู้หญิงอายุ 21-29 ปี และทุก 5 ปีในกลุ่มอายุ 30-65 ปี มะเร็งลำไส้ใหญ่ควรตรวจอุจจาระหรือส่องกล้องลำไส้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 50 ปี ส่วนมะเร็งตับ ผู้ที่มีประวัติเสี่ยงควรตรวจอัลตราซาวด์และค่า AFP ทุก 6 เดือน

3. มีวิธีลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งได้อย่างไร?

วิธีลดความเสี่ยงมะเร็งคือการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักผลไม้หลากสี ธัญพืชเต็มเมล็ด และปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ รวมถึงควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันมะเร็งผิวหนัง

4. อาการเบื้องต้นของมะเร็งที่ควรเฝ้าระวังคืออะไร?

อาการเบื้องต้นของมะเร็งที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ อาการไอเรื้อรัง เสมหะปนเลือด หายใจลำบาก ซึ่งเป็นอาการของมะเร็งปอด ส่วนมะเร็งเต้านมอาจสังเกตได้จากก้อนเนื้อบริเวณเต้านม ผิวเต้านมเปลี่ยนแปลง หรือหัวนมผิดปกติ มะเร็งลำไส้ใหญ่อาจแสดงอาการท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง อุจจาระมีเลือดปน สำหรับมะเร็งตับ อาการที่พบบ่อยคือปวดท้องด้านขวาบน ตัวเหลือง ตาเหลือง และท้องบวม หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาอย่างเหมาะสม

อ้างอิง: